ไม้แต่ละชนิดย่อมมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป อย่างไม้สักและสะเดาเทียมจะนิยมทำเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือสร้างบ้านเรือน ไม้ยางพารานิยมนำมาแปรรูปเป็นไม้เทียมจำพวกไม้ปาร์ติเกิลหรือไม้ MDF-HDF ไม้ยูคาลิปตัสนิยมนำไปทำเป็นไม้อัดหรือไม้แท้สำหรับทำโครงสร้าง

แต่สำหรับไม้ชนิดนี้คงไม่ได้เอาไปทำเฟอร์นิเจอร์อย่างแน่นอน เนื่องด้วยมีความหอมเป็นพิเศษ มีคุณสมบัติทางยาที่ดีเลิศ และยังมีราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่ง จนได้ชื่อว่า “ไม้ของพระเจ้า” (Wood of God)

มันคือ “กฤษณา” ครับ

กฤษณา หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า ไม้หอม เป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 18-21 เมตร ลำต้นตรง เปลือกสีเทาอมขาว เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์หรือรูปกรวย พบมากในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย ตั้งแต่แถบอินเดีย-ทิเบต ยาวไปจนถึงแหลมมลายู เกาะสุมาตรา และฟิลิปปินส์

ที่กฤษณามีราคาแพงได้นั้น เป็นเพราะเนื้อไม้ของมันนี่แหละครับ แบ่งได้ 2 แบบคือ เนื้อไม้ปกติ สีอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อหยาบปานกลาง ผ่าซอยง่าย แต่ชักเงาไม่ดีนัก จึงใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มากนัก

แต่ถ้าเป็นเนื้อไม้สีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ อันนี้แหละคือของล้ำค่าที่หาได้ยากมากจริงๆ ครับ เพราะนั่นคือไม้ที่มีน้ำมันอยู่ในเนื้อไม้ ยิ่งมีน้ำมันมาก เนื้อไม้ยิ่งดำ ราคายิ่งสูง เวลาคัดเกรดไม้ชนิดนี้ต้องเอาทิ้งลงน้ำ แล้วดูว่าท่อนไม้จมหรือลอย ถ้าจมน้ำลงไปแสดงว่าเป็นไม้ชั้น 1 ราคาขายเขาคิดกันเป็นหลักหมื่นหลักแสนกันเลยทีเดียว

เพราะด้วยความที่มวลของน้ำมันในเนื้อไม้กฤษณาหนักกว่าน้ำ มันจึงจมน้ำไป ถ้าเป็นไม้เกรดรองๆ ลงมาจนถึงเกรดต่ำสุดมันจะลอยน้ำแทบทั้งสิ้น หรือจะดูอีกแบบหนึ่งด้วยการผ่าดูสีในเนื้อไม้ก็พอจะเดาได้ครับ

คุณสมบัติของน้ำมันในเนื้อไม้นั้น นอกจากจะเป็น “อโรมาเทอราพี” (Aroma Therapy) ที่ใช้ทำน้ำหอมกันทั้งในและต่างประเทศแล้ว ยังมีคุณสมบัติด้านสมุนไพรทั้งการทำยาขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย หรือจะเอาไปทำยาลมแก้วิงเวียนศีรษะ กระหายน้ำ หน้ามืด บำรุงร่างกายได้หลายส่วน

จะว่าไปแล้ว… จะว่าไม้กฤษณาเป็น “ไม้ไฮโซ” ก็ไม่ผิดนะครับ (ฮ่าๆ)