รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกไม้

บานพับคือส่วนที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ทุกประเภท เนื่องจากบานพับเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เฟอร์นิเจอร์ดูเรียบร้อย เป็นระเบียบ และสวยงามมากขึ้น โดยหลักๆ แล้ว เราจะมีบานพับอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ บานพับปีกผีเสื้อ บานพับถ้วย และบานพับข้อศอก แต่ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงบานพับถ้วยครับ บานพับถ้วย คือบานพับประเภทหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับถ้วย นิยมใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์มากที่สุด เนื่องจากมีความสวยงาม แข็งแรงพอประมาณ ใช้งานง่าย ปิดด้วยระบบ Soft Close ไม่ส่งเสียงรบกวนเวลาปิดหน้าบาน สามารถถอดประกอบได้และดูแลซ่อมบำรุงไม่ยุ่งยากอีกด้วย บานพับถ้วยมี 3 รูปแบบย่อย ได้แก่ บานพับริมทับขอบ (Full Overlay) เมื่อติดตั้งแล้วหน้าบานจะทับขอบตู้ทั้งหมด นิยมใช้กับบานตู้ที่อยู่ริมสุด และเป็นขอบตู้แยกอิสระ บานพับกลางทับขอบ (Half Overlay) เมื่อติดตั้งแล้วหน้าบานจะทับขอบตู้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น นิยมใช้กับบานตู้ระหว่างกลางที่ใช้โครงตู้ร่วมกันในการยึดบานพับ บานพับริมขอบ (Insert) เมื่อติดตั้งแล้วหน้าบานจะอยู่ในช่องตู้ทั้งหมด ใช้กับบานตู้ที่ต้องการโชว์ขอบ หรือตู้ที่มีหน้าบานซ้อนกันหลายชั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรคำนึงถึงการเลือกบานพับถ้วยที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะทำให้เฟอร์นิเจอร์ดูสวยงามแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้อีกด้วยครับ

Your Content Goes Here เฟอร์นิเจอร์ไม้ต่างๆ ที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากจะมีแผ่นไม้ ตัวเชื่อมต่อไม่ว่าจะเป็นสลัก ตะปู หรือสกรูแล้ว สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่มีประตูนั้น ย่อมขาดบานพับไม่ได้แน่นอนครับ บานพับ คืออุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ใช้ยึดติดระหว่างหน้าบานกับโครงตู้ และสามารถ เปิด-ปิด หน้าบานได้ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน และทำให้บ้านหรือออฟฟิศของคุณดูมิดชิดและเรียบร้อยอีกด้วย บานพับที่เราใช้งานกันทุกวันนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ นั่นก็คือ บานพับปีกผีเสื้อ บานพับถ้วย และบานพับข้อศอก ซึ่งแต่ละชนิดล้วนมีลักษณะ การติดตั้ง และการใช้งานที่แตกต่างกันไป บานพับปีกผีเสื้อ เป็นบานพับมาตรฐาน รับน้ำหนักได้มาก ใช้ได้ทุกขนาดหน้าบาน แต่ไม่มีระบบ Soft-Close ถ้าจะเพิ่ม Soft-Close ต้องติดตั้งโช๊คประตูร่วมด้วย บานพับถ้วย เป็นบานพับมาตรฐานงานเฟอร์นิเจอร์ ใช้กับเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชนิด มีระบบ Soft-Close เพิ่มความนุ่มนวลในการเปิด-ปิดหน้าบาน บานพับข้อศอก นิยมใช้กับหน้าบานลอยหรือยกสูง มีโช๊คอัพช่วยในการเปิด-ปิดแบบ Soft-Close

ส่วนประกอบอย่างหนึ่งของเฟอร์นิเจอร์ นอกจากจะมีมือจับ ราว บานพับ ฯลฯ แล้ว รางลิ้นชัก ก็คือส่วนหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้เฟอร์นิเจอร์ของคุณดูดีและช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้อีกด้วยครับ รางลิ้นชัก คืออุปกรณ์บานพับอย่างที่ใช้เปิด-ปิดกล่องลิ้นชัก รางลิ้นชักจะต่างจากบานพับคือ ใช้วิธีการเปิด-ปิดแบบตรงในแนวขนาน จึงสามารถทำในพื้นที่ที่จำกัดได้ดีกว่าบานพับที่ใช้วิธีการดึงแบบสวิงซึ่งกินพื้นที่มากกว่า แต่รางลิ้นชักมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่สามารถใช้งานกับเฟอร์นิเจอร์ที่มีความโค้ง หรือรูปทรงที่ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากรางและกล่องลิ้นชักจะถูกบังคับเปิด-ปิดแนวเดียวเท่านั้น รางลิ้นชักมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบคือ รางลิ้นชักตอนเดียว ทำด้วยเหล็ก อลูมิเนียม หรือสแตนเลส มีทั้งแบบลูกล้อไนล่อนและลูกล้อลูกปืน มีตัวบังคับไม่ให้กล่องหลุด ทำให้ดึงได้ไม่สุด รับน้ำหนักและขนาดของกล่องลิ้นชักที่จำกัด นิยมติดตั้งแบบรับใต้กล่องลิ้นชัก มีราคาถูกสุดแต่ก็มีอายุการใช้งานที่สั้นเช่นกัน รางลิ้นชักสองตอน ทำด้วยเหล็ก อลูมิเนียม หรือสแตนเลส รางลิ้นชักเป็นแบบรางเลื่อนสองราง จึงทำให้ดึงออกได้สุด มีทั้งแบบปิดธรรมดาและแบบ Soft Close ทำให้ปิดลิ้นชักได้สะดวกและนุ่มนวลมากขึ้น รับน้ำหนักและขนาดกล่องลิ้นชักได้ดีกว่า ติดตั้งที่ด้านข้างหรือด้านล่างกล่อง บางรุ่นสามารถยกกล่องออกมาข้างนอกได้ รางลิ้นชักแบบซ่อนด้านล่าง เป็นรางลิ้นชักที่ติดตั้งอยู่ด้านล่างของกล่อง บางรุ่นสามารถถอดกล่องออกจากรางได้ มีให้เลือกทั้งแบบ Soft Close และกดกระเด้ง รางลิ้นชักแบบแผง เป็นรางที่มีแผงข้างมาให้ด้วย โดยรางจะถูกซ่อนใต้แผงข้างทั้งสองข้าง

การโป๊วสี (Putting) เป็นการอุดหรือปิดรอยต่างๆ ที่อยู่บนพื้นผิววัสดุให้ดูสวยงาม มีความเรียบเนียนมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะทำสีกับเฟอร์นิเจอร์ หรือส่วนอื่นๆ อย่างสีตัวถังรถยนต์ นอกจากจะใช้สีรองพื้น สีจริง และตัวเคลือบเงาแล้ว ยังต้องมีการโป๊วสีเพื่อให้งานดูเรียบเนียนอีกด้วย วัสดุและอุปกรณ์ในการโป๊วสี มีอยู่หลักๆ  2 อย่างคือ เกรียง (Scraper)  และ สีโป๊ว (Putty) วิธีการโป๊ว จะใช้เกรียงปาดสีโป๊วตามรอยที่อยู่บนวัสดุ ก่อนที่จะลงสีจริงทับลงไป จากนั้นจึงทำการเคลือบเงาและขัดผิวในลำดับสุดท้าย สีโป๊วที่ใช้งานกันมี 3 แบบหลักๆ คือ สีโป๊วขาว เป็นสีหรือเคมีโป๊วขาว นิยมใช้กับงานตกแต่งรอยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก เหมาะสำหรับงานก่อสร้างและงานอุดรอยต่อเฟอร์นิเจอร์ สีโป๊วเหลือง เป็นสีโป๊วแห้งช้า ใช้กับรอยขนาดเล็กหรือรอยตามด นิยมโป๊วบาง มีความละเอียด ขัดด้วยกระดาษทรายง่าย เหมาะสำหรับทำสีรถยนต์เพราะมีความคงทนและคุณภาพสูงมาก สีโป๊วแดง เป็นสีโป๊วแห้งเร็ว นิยมใช้กับรอยที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 2 มิลลิเมตร เน้นการอุดแบบคร่าวๆ นิยมโป๊วหนา ใช้กับงานซ่อมเร็ว ไม่นิยมใช้ทำสีรถยนต์แต่เหมาะกับอุดรอยที่ชิ้นเฟอร์นิเจอร์หรือชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ใช้รายละเอียดในการทำสีไม่มากนัก ส่วนสีโป๊วประเภทอื่นๆ ที่ใช้กับงานไม้ก็มี ดินสอพอง

หลายๆ คนคงสังเกตกันว่า วัสดุที่ใช้ปิดผิวไม้ที่ดูสวยงามและมีความสมจริงนั้น เขาใช้อะไรปิดผิวไม้ ปิดเพื่ออะไร และดีขนาดไหน วัสดุเหล่านี้ใช้เพื่อทำการตกแต่งให้เฟอร์นิเจอร์มีความสวยสมจริงมากขึ้น ซึ่งหลักๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ชนิดคือ เมลามีน พีวีซี ลามิเนต ไม้แท้ หรือวีเนียร์ แต่ละชนิดย่อมมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปครับ เมลามีน เป็นวัสดุปิดผิวไม้ที่ทำด้วยกระดาษอัดแน่นและเคลือบเงาหลายๆ ชั้น พิมพ์สีเลียนแบบธรรมชาติ การปิดผิวจะใช้ความร้อนสูงเป็นตัวเชื่อมซึ่งจะทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น เมลามีนมีข้อดีคือ มีความสวยงาม ทนต่อความชื้น ความร้อน และรอยขีดข่วน ราคาไม่แพงมาก หาได้ค่อนข้างง่าย เป็นมาตรฐานของการทำเฟอร์นิเจอร์พื้นฐาน ปิดได้ทั้งไม้ปาร์ติเกิลและ MDF แต่ก็ยังมีข้อจำกัดคือ ต้องซื้อแบบปิดผิวไม้สำเร็จรูปแล้วเท่านั้น และต้องซื้อในปริมาณที่มากอีกด้วย ___________________ พีวีซี เป็นวัสดุปิดผิวไม้ที่เป็นพลาสติกอย่างหนึ่ง ทำเป็นแผ่นแล้วพิมพ์ลายเลียนแบบธรรมชาติ ปิดผิวด้วยกาวและความร้อนสูงเป็นตัวเชื่อม ข้อดีคือ มีลายที่สวยและสีสันที่หลากหลาย แต่ข้อจำกัดค่อนข้างเยอะ ทั้งปัญหาด้านการทนต่อความชื้น ความร้อน รอยขีดข่วน และอายุการใช้งานที่สั้น จึงไม่นิยมนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ___________________ ลามิเนต

หากใครที่ดูละครซีรี่ส์หรือภายยนตร์อยู่ ก็คงจะได้ยินประโยคที่ว่า “เดี๋ยวเอ็งจะเจอไม้หน้าสาม” ในฉากที่มีการทะเลาะวิวาทกัน คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมต้องเป็นไม้หน้าสามด้วย ไม้หน้าสอง หน้าหนึ่งไม่ได้เหรอ? 🤔 คำตอบมันอยู่ตรงนี้ครับ... ไม้หน้าสาม ไม่ใช่ชื่อชนิดของไม้ใดๆ นะครับ แต่มันคือขนาดของไม้แปรรูปที่ใช้ในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเฟอร์นิเจอร์ งานก่อสร้างต่างๆ ก็นิยมใช้ไม้หน้าสามเพราะขนาดกำลังพอดีจริงๆ ขนาดของไม้หน้าสามจะอยู่ที่ 1.5x3 นิ้ว ความยาวก็แล้วแต่จะสั่ง มีให้เลือกตั้งแต่ 1 เมตรไปจนถึง 5 เมตร ไม้หน้าสามเป็นไม้ที่ใช้ได้สารพัดอย่างจริงๆ จะเอาไปทำเป็นนั่งร้านก็ได้ ตีเป็นผนังก่อสร้างก็ดี จะเอาไปทำแปหลังคาวางกระเบื้องลอนก็ดูสวย ทำโครงคร่าวฝาผนัง ฝ้าเพดานก็เก๋ไก๋สไลเดอร์ หรือถ้าจะเอาไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้สวยๆ สักชิ้นนึงก็คงดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของไม้หน้าสามที่ใช้งานได้หลากหลาย เวลาจะเกิดการทะเลาะวิวาทกันย่อมต้องหยิบฉวยอาวุธใกล้มือออกมาใช้กันก่อน สิ่งที่หาง่ายที่สุดก็คงไม่พ้นไม้หน้าสามแน่ๆ (ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะใช้อาวุธชนิดอื่นก็ตาม) แต่ความจริงแล้ว ไม้หน้าสามก็ไม่ได้เอาไว้ใช้ก่อเหตุวิวาทกัน และความรุนแรงก็ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหานะครับ

เฟอร์นิเจอร์คือของตกแต่งบ้านอย่างหนึ่งที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นเครื่องตกแต่งบ้านของคุณให้ดูสวยงาม แต่ในอีกแง่หนึ่ง เฟอร์นิเจอร์ก็คือเครื่องมือเครื่องใช้อย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการทำให้บ้านของคุณดูเป็นระเบียบอย่างยิ่ง เฟอร์นิเจอร์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ นั้น ถ้าแบ่งตามรูปแบบการติดตั้ง ก็จะสามารถแบ่งได้ 2 แบบคือ เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว (Movable Furniture) เฟอร์นิเจอร์บิวท์อิน (Built-In Furniture) ______________________________ เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว (Movable Furniture) เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีลักษณะลอยตัวเป็นชิ้น โดยปกติแล้วจะใช้งานอยู่กับที่ แต่ผ่านการออกแบบและผลิตจากโรงงาน จากนั้นจึงนำมาติดตั้งที่หน้างานได้ทันที โดยอาจจะมีการเก็บสีหรือรายละเอียดเพียงเล็กน้อย เฟอร์นิเจอร์ชนิดนี้สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อนำไปติดตั้งที่อื่นได้ง่ายโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งก็มีหลายชนิดให้เลือกใช้งานกันอย่างเช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง เป็นต้น ______________________________ เฟอร์นิเจอร์แบบบิวท์อิน หรือ Built-In Furniture เฟอร์นิเจอร์แบบบิวท์อิน หรือ Built-In Furniture เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาให้เข้ากับธีมของสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม ร้านอาหาร ออฟฟิศ เป็นต้น เฟอร์นิเจอร์ประเภทนี้จะมีความแตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวโดยสิ้นเชิงคือ ไม่สามรถเคลื่อนย้ายได้ เฟอร์นิเจอร์แบบบิวท์อินจะติดตั้งแบบประจำที่

หลังจากที่เรากล่าวถึงการดูแลเฟอร์นิเจอร์ในที่ร่มแล้ว เฟอร์นิเจอร์กลางแจ้งคือส่วนสำคัญอย่างมากที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษในหน้าฝนที่ไม่ค่อยเป็นใจอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ เพราะถ้าดูแลไม่ดี เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ใช้งานอยู่กลางแจ้งก็จะได้รับความเสียหายมากเลยทีเดียว ต่อให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความชื้นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ก็อาจจะมีปัญหาจนทำให้คุณปวดหัวเป็นแน่แท้ การดูแลเฟอร์นิเจอร์ที่กลางแจ้งควรทำตามวิธีดังนี้ หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ควรนำเข้ามาในที่ร่ม หรือย้ายเข้ามาอยู่ใต้กันสาดหรือบริเวณที่มีหลังคาบัง เพื่อป้องกันผลกระทบจากแดดและฝน ควรกำจัดรอยคราบน้ำฝนหรือสิ่งสกปรกด้วยการใช้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดและขัดเงา ขัดถูบริเวณที่เป็นคราบ จะช่วยให้เฟอร์นิเจอร์เงางาม แลดูเหมือนใหม่ และยังช่วยขจัดรอยขีดข่วนได้อีกด้วย การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกต้อง ควรใช้ไม้ปัดขนไก่ปัดฝุ่นออก แล้วใช้ผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ เช็ดอีกครั้ง ปล่อยให้แห้ง สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง หากมีรอยเปื้อนฝังแน่นอยู่ สามารถใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดขัด ใช้น้ำผึ้งทาทับ แล้วใช้ผ้าแห้งขัดอีกครั้ง ส่วนเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้ออ่อน ควรใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำอุ่นเช็ดให้ทั่ว แล้วขัดด้วยขี้ผึ้ง ควรทาพื้นผิวเฟอร์นิเจอร์ด้วยผลิตภัณฑ์หรือน้ำยาดูแลผิวไม้โดยเฉพาะ เพื่อปกป้องสีของไม้ให้คงทน โดยใช้วิธีนำแปรงขนนุ่มจุ่มน้ำยาดูแลผิวไม้ ทาให้ทั่ว ทิ้งไว้จนแห้งสนิท แล้วจึงทาทับอีก 2 ครั้ง ปล่อยให้แห้ง แล้วจึงใช้กระดาษทรายขัด จากนั้นทาทับด้วยน้ำยาอีกครั้งเป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่หากใครไม่มีน้ำยาเคลือบเฟอร์นิเจอร์ อาจมองหาโลชั่นที่เหลือใช้ นำผ้าชุบน้ำหมาดๆ บีบโลชั่นใส่เพียงเล็กน้อย แล้วนำไปเช็ดเฟอร์นิเจอร์ที่ปัดฝุ่นแล้ว จะทำให้เฟอร์นิเจอร์เงางามและฝุ่นเกาะติดยากไประยะหนึ่ง และยังมีกลิ่มหอมอีกด้วย ควรทาน้ำยาขัดเงาหรือสี/สเปรย์กันน้ำป้องกันอีกชั้น

เข้าหน้าฝนทีไร... ก็รู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากจะต้องเก็บเสื้อผ้าและของที่ตากแดดเอาไว้แล้ว ยังต้องระวังไม่ให้ฝนสาดเข้าบ้านเวลาพายุหรือลมมรสุมเข้าอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนมักจะไม่ได้สังเกตกันอย่างละเอียดนั่นก็คือ... เฟอร์นิเจอร์ไม้นี่แหละครับ ปกติแล้ว เฟอร์นิเจอร์ไม้ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในที่ร่ม แต่ก็มีบางชนิดที่ใช้งานที่กลางแจ้ง (ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน) ซึ่งโดยมากเฟอร์นิเจอร์ไม้มักจะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันความชื้นมากเท่าไหร่นัก จึงทำให้เฟอร์นิเจอร์ไม้ได้รับความเสียหายจากความชื้นได้ แต่เฟอร์นิเจอร์ไม้บางชนิดถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความชื้นด้วยใส่น้ำยากันความชื้นแล้วพ่นสี (ไม้ MDF-HDF) หรืออบไม้พร้อมใส่น้ำยากันชื้นและปลวก (ไม้อัดและไม้แท้) เพื่อการป้องกันความชื้นโดยเฉพาะ เฟอร์นิเจอร์ไม้ในร่ม ส่วนมากจะไม่ค่อยเจอแดดเจอฝน จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องความชื้นมากนัก แต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์บางชนิดที่มีความเสี่ยงต่อการโดนความชื้นเล่นงาน เช่น เฟอร์นิเจอร์ในห้องน้ำ ทำให้ต้องมีการดูแลบำรุงรักษาไม่ต่างอะไรไปจากเฟอร์นิเจอร์ที่อยู่กลางแจ้ง ส่วนวิธีการดูแลเฟอร์นิเจอร์ในร่มสามารถทำง่ายๆ ดังนี้ ใช้ไม้ปัดขนไก่หรือผ้าเนื้อนุ่ม เช็ดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ หรือผ้าหรือฟองน้ำเนื้อนุ่มชุบน้ำยาทำความสะอาดแบบอ่อนๆ เช็ดให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสะอาดเช็ดซ้ำอีกครั้ง ควรใช้ผ้าชุบน้ำให้พอหมาดเท่านั้น อย่าชุบจนเปียกชุ่มจนเกินไป เพราะทำจะให้เนื้อไม้เกิดความเสียหาย บวม พอง เสียรูป หรือขึ้นราได้ หากต้องการนำเฟอร์นิเจอร์ไปผึ่งแดด ควรเลือกช่วงเวลาที่แดดอ่อนๆ ไม่ควรผึ่งในที่แดดจัด เพราะจะทำให้เนื้อไม้กรอบเปราะหรือหักได้ ควรทาหรือฉีดพ่นน้ำยาป้องกันปลวก มอด มด และแมลงศัตรู ให้ทั่วชิ้นเฟอร์นิเจอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงศัตรูมากัดกินเนื้อไม้

ช่วยนี้ก็เพิ่งจะผ่านพ้น “ฤดูซักฟอก” ไปหมาดๆ นี่เอง ในวันนี้เราก็เลยขอกล่าวถึง “การฟอกสีไม้” กันบ้างครับ เคยสังเกตมั้ยว่า เฟอร์นิเจอร์ไม้ของคุณนั้น นับวันสียิ่งเข้มเข้าไปทุกทีๆ ซึ่งหลายต่อหลายคนที่ชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์สีอ่อนๆ ก็คงจะไม่ค่อยชอบเฟอร์นิเจอร์แบบนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังมีวิธีการอย่างหนึ่งที่จะทำคืนชีพเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ของคุณให้ดูเหมือนใหม่ได้ด้วยการ “ฟอกสีไม้” หนึ่งในวิธีการที่จะทำให้เฟอร์นิเจอร์ของคุณกลับมาดูเหมือนใหม่ได้ การฟอกสีไม้ คือการนำไม้มากัดสีด้วยน้ำยาฟอกสี ซึ่งจะทำให้สีไม้ซีดลง เกิดเป็นสีโทนอ่อนหรือโทนสว่าง นิยมใช้กับไม้ที่มีสีเข้ม กระพี้คล้ำ ไม้เก่าเก็บ และใช้ได้ดีกับไม้ที่ยังไม่ผ่านการเคลือบสี นับว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับเฟอร์นิเจอร์ไม้อย่างหนึ่งเลยทีเดียว วัสดุหลักๆ ที่ใช้กับการฟอกสีไม้คือ น้ำยาฟอกสีไม้ ซึ่งจะประกอบไปด้วยเคมี 2 ชนิดที่จะเรียกว่า “น้ำยาเบอร์ 1-2” หรือ “น้ำยาส่วน A-B” ผสมในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นนำไปทาที่ไม้ให้ชุ่มมากๆ ทิ้งไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง จากนั้นจึงทำการเช็ดล้างด้วยน้ำและน้ำยาต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำไปทำสีหรือทำเฟอร์นิเจอร์ตามความต้องการ งานฟอกสีไม้นั้น เป็นงานที่ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ที่สูงมาก เนื่องจากเป็นงานที่อันตรายอย่างยิ่ง ด้วยน้ำยาฟอกสีไม้เป็นสารเคมีที่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง จะเกิดอันตรายจนถึงชีวิตได้เลยทีเดียว ดังนั้น การฟอกสีไม้จึงควรเป็นหน้าที่ของช่างไม้ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ที่เหมาะสมจะดีกว่าครับ